วันอังคารที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2554

วันอังคารที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2553

หลวงพ่อ ชา

ประวัติหลวงพ่อชา

ฟังหลักธรรมหลวงพ่อชา

พระโพธิญาณเถร นามเดิมว่า ชา ช่วงโชติ เกิดเมื่อวันที่ ๑๗ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๖๑ ณ บ้านจิกก่อ หมู่ที่ ๙ ตำบลธาตุ อำเภอ วารินชำราบ จังหวัด อุบลราชธานี ตามประวัติท่านมีจิตฝักใฝ่ธรรมมาแต่เด็กบรรพชาเป็นสามเณรเมื่อเดือนมีนาคม ๒๔๗๔ ได้ ๓ พรรษา แล้วก็ลาสิกขาอุปสมบทเป็นภิกษุเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๒ ปี พ.ศ. ๒๔๘๔ ออกศึกษาปริยัติต่างถิ่นโดยเริ่มที่วัดสวนสวรรค์ อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี การที่ท่านบวชแต่เยาว์วัยยังผลให้ท่านมีโอกาสศึกษาเล่าเรียนทางโลกเพียงแค่ชั้นประถมปีที่ ๑

หลวงพ่อชาเป็นผู้สนใจธรรมมาก ท่านมีความปรารถนาอยากรู้แจ้งเห็นจริงตามคำสอนของพระพุทธองค์ จึงเริ่มศึกษาธรรมจากสำนักต่าง ๆ หลายสำนักระยะแรกในช่วงปี พ.ศ. ๒๔๘๕-๒๔๘๖ ศึกษาปริยัติธรรมกับพระมหาแจ้ง วัดเค็งใหญ่ อ.อำนาจเจริญ จ.อุบลราชธานี และพระครูอรรถธรรมวิจารณ์ วัดหนองหลัก อ.ม่วงสามสิบ จ.อุบลราชธานี ปี ๒๔๘๖ เมื่อโยมบิดาถึงแก่กรรม หลวงพ่อชาสิ้นภาระห่วงใย มองเห็นความเป็นอนิจจังของชีวิต หลังจากสอบนักธรรมเอกได้เกิดเบื่อหน่ายด้านปริยัติ พิจารณาว่าไม่ใช้ทางพ้นทุกข์ ประสงค์จะศึกษาด้านวิปัสสนาธุระบ้าง จึงออกธุดงค์ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๘๙ เพื่อค้นหาอาจารย์ที่จะสอนด้านวิปัสสนาธุระ โดยระยะแรกมุ่งหน้าไปจังหวัดสระบุรี-ลพบุรี ที่ลพบุรีมุ่งตรงมาที่สำนักวัดป่าของหลวงพ่อเภา แต่น่าเสียดายที่หลวงพ่อเภามรณภาพเหลือแต่อาจารย์วันลูกศิษย์ จึงได้แต่ศึกษาระเบียบข้อปฏิบัติที่หลวงพ่อเภาวางไว้ และจากอาจารย์วัน อาจารย์ที่สำคัญอีกองค์หนึ่ง คืออาจารย์ชาวเขมร (ซึ่งธุดงค์จากเขมรมาไทย และมุ่งไปพม่า) เป็นผู้วางหลักแนวทางปฏิบัติโดยใช้หนังสือ บุพพสิกขาวรรณนาวินัยกถา ซึ่งแต่งโดยพระอมรมภิรักขิต (เกิด) ในคณะธรรมยุตินิกาย หลวงพ่อชาจึงได้ใช้หนังสือบุพพสิกขาวรรณนาวินัยกถา เป็นข้อกำหนดเกี่ยวกับวัตรปฏิบัติของพระสงฆ์ในวัดหนองป่าพงและสาขามาจนทุกวันนี้

ปี ๒๔๙๐ หลังจากจำพรรษาที่เขาวงกต อยู่ได้หนึ่งพรรษา ได้ทราบข่าวว่าท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต (หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต) เป็นผู้มีคุณธรรมสูงทั้งเชี่ยวชาญด้านวิปัสสนาธุระ มีประชาชนเคารพเลื่อมใสมาก จึงเดินทางมาที่วัดหนองผือนาใน อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนครวันแรกย่างเหยียบเข้าสำนัก เห็นบริเวณร่มรื่น ปฏิปทาของพระภิกษุเคร่งครัดเป็นที่น่าเลื่อมใสศรัทธา หลวงปู่มั่นได้เทศนาสั่งสอนเกี่ยวกับหลักธรรม อาทิศีลนิเทศ ปัญญานิเทศ พละ ๕ อิทธิบาท ๔ ให้แก่หลวงพ่อชาและศิษย์จนเป็นที่พอหายสงสัย สิ่งที่น่าสังเกตคือหลวงปู่มั่นไม่มีความคิดที่จะให้หลวงพ่อชาแปลงนิกายเป็นธรรมยุติกาย ท่านให้ข้อชี้แจ้งเป็นปรัชญาคมคายว่าในความเป็นภิกษุที่แท้จริงไม่ได้มีนิกาย ทั้งหมดคือพระสงฆ์สาวกของพระพุทธองค์ ดังคำกล่าวของหลวงปู่มั่นต่อหลวงพ่อชาว่า “ ไม่ต้องสงสัยนิกายทั้งสอง ” หลังจากฟังเทศน์จากหลวงปู่มั่น หลวงพ่อชามีจิตอิ่มเอิบ เป็นสมาธิ และได้ยึดคำสอนปฏิปทาของท่านไว้เป็นแนวปฏิบัติต่อไปองค์ที่ตรัสว่า “ ทำตนให้ตั้งอยู่ในคุณอันสมควรเสียก่อน แล้วจึงสอนคนอื่นทีหลัง จึงจักไม่เป็นบัณฑิตสกปรก ” ดังนั้นไม่ว่าจะทำกิจวัตรอันใด เช่น กวาดวัด จัดที่ฉันล้างบาตร นั่งสมาธิ ตักน้ำ ทำวัตร สวดมนต์ เดินจงกรม ในระหว่างวันพระถือเนสัชชิไม่นอนตลอดคืน หลวงพ่อชาลงมือทำเป็นตัวอย่างของศิษย์โดยถือหลักว่า “ สอนคนด้วยการทำให้ดู ทำเหมือนพูด พูดเหมือนทำ ” ดังนั้นศิษย์และญาติโยมจึงเกิดความเลื่อมใสเคารพยำเกรงในปฏิปทาที่หลวงพ่อดำเนินอยู่

ในระยะแรกของการมาอยู่ป่าพงค่อนข้างลำบาก ชาวบ้าน ญาติโยมผู้ศรัทธาเข้ามาสร้างวัดเป็นกระท่อมเล็ก ๆ ให้ได้อาศัย ไข้ป่าชุกชุม เพราะเป็นป่าทึบ เมื่อเจ็บป่วยยารักษาก็หายาก โยมอุปัฏฐากยังน้อย อาหารการกินฝืดเคือง แต่กระนั้นหลวงพ่อก็ไม่เคยออกปากของญาติโยม แม้จะเลียบเคียงก็ยังไม่ยอมทำ ปล่อยให้ผู้พบเห็นพิจารณาด้วยตนเอง เดือนต่อมาเกิดสำนักชีขึ้นที่วัดเพื่อสนองคุณต่อโยมมารดาให้ได้ปฏิบัติธรรม โยมแม่พิมพ์จึงเป็นแม่ชีคนแรกของวัดหนองป่าพง และมีแม่ชีติดต่อกันมาถึงปัจจุบันเป็นจำนวนมากและทางวัดมีการแบ่งเขตสงฆ์เขตชีไว้เรียบร้อยไม่ก้าวกายปะปนกัน

วัดหนองป่าพงได้รับอนุญาตให้สร้างในปี ๒๕๑๓ ปี ๒๕๑๖ หลวงพ่อได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดหนองป่าพงและได้รับสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะที่ “ พระโพธิญาณเถร ” ปี ๒๕๑๙ สิ้นเงิน ๕ ล้านบาท ปี ๒๕๒๐ ได้เดินทางไปประกาศสัจธรรมในภาคพื้นยุโรปเป็นครั้งแรกปี ๒๕๒๒ ได้เดินทางไปอังกฤษ อเมริกา คานาดา เพื่อประกาศสัจธรรม เป็นครั้งที่ ๒

ปี ๒๕๒๕ หลวงพ่อชาอาพาธ เป็นโรคเกี่ยวกับสมอง มีอาการเวียนศีรษะความจำเสื่อม จนต้องผ่าตัดสมอง หลังจากการผ่าตัด ท่านไม่สามารถพูดได้เคลื่อนไหวไม่ได้ ต้องอาศัยพระภิกษุในวัดช่วยปรนนิบัติเอาใจใส่ดูแลอย่างใกล้ชิด การบริหารวัดทั้งหมดมอบให้อาจารย์เหลื่อมเป็นผู้รักษาการแทน

หลวงพ่อชาถึงแก่มรณภาพเมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๓๕ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินไปพระราชทานเพลิงศพ เมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๓๖



วัดหนองป่าพง



วัดหนองป่าพง เป็นวัดป่าฝ่ายอรัญวาสี ตั้งอยู่ที่ตำบลโนนผึ้ง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี เป็นสำนักปฎิบัติธรรมที่แวดล้อมด้วยธรรมชาติอันสงบเงียบ มีบรรยากาศอันร่มรื่น เหมาะแก่การปฎิบัติธรรม สร้างโดยหลวงพ่อชา สุภทโท หรือ พระโพธิญาณเถระ



ประวัติความเป็นมา

ระหว่างที่มาอยู่วัดหนองป่าพง หลวงพ่อได้ยึดหลักคำสอนของพระพุทธองค์ที่ตรัสว่า " ทำตนให้ตั้งอยู่ในคุณธรรมสมควรเสียก่อน แล้วจึงสอนคนอื่นที่หลัง จึงจะไม่เป็นบัณฑิตสกปรก" ฉะนั้นไม่ว่าจะทำกิจวัตรอันใด เช่น การกวาดลานวัด จัดที่ฉัน ล้างบาตร นั่งสมาธิ ตักน้ำ ทำวัตร หลวงพ่อจะลงมือทำเป็นตัวอย่างของศิษย์โดยยึดหลักว่า "สอนคนด้วยการทำให้ดู ทำเหมือนพูดพูดเหมือนทำ" ดังนั้นศิษย์ และญาติโยมจึงเกิดความเคารพเลื่อมใสในปฏิปทาที่หลวงพ่อดำเนินอยู่

ศิลปสถาปัตยกรรม
นอกจากจะเป็นที่บำเพ็ญสมณธรรมของพระธุดงค์กรรมฐานสายพระอาจาย์มั่น ภูริทตโต แล้ววัดหนองป่าพงยังเป็นที่สำคัญด้านสถาปัตยกรรม ผสมผสานระหว่างศิลปะอีสานกับศิลปะร่วมสมัย อาทิ การก่อสร้างโบสถ์ วิหาร พิพิธภัณฑ์ และเจดีย์ที่บรรจุอัฐิหลวงพ่อชา

โบสถ์วัดหนองป่าพง
เป็นอุโบสถอเนกประสงค์สมัยใหม่ที่เอื้อต่อประโยชน์ใช้สอย พื้นอุโบสถยกลอยจากพื้นดิน เบื้องล่างเป็นถังเก็บน้ำฝนตัดสิ่งประดับฟุ่งเฟื่อย อาทิ ช่อฟ้า ใบระกา ไม่มีผนังประตูหน้าต่าง สามารถจุคนได้จำนวนประมาณ 200 กว่าคน เสาอาคารและผนังประดับด้วยเครื่องปั้นดินเผา อีสานจากบ้านด่านเกวียนวิหาร เป็นลักษณะศิลปแบบอีสานเรียบง่ายแต่เน้นประโยชน์ใช้สอย สามารถจุประชาชนได้ เป็นนับพันคน

เจดีย์บรรจุอัฐิหลวงพ่อชา
มีรูปแบบสถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมอีสานกับ ล้านช้าง

ความสำคัญต่อชุมชน
วัดหนองป่าพงเป็นต้นแบบของวัดป่ากว่า 100 แห่งในประเทศไทย และอีกหลายแห่งในยุโรป ออสเตรเลีย และแคนาดา หลวงพ่อชาเป็นตัวอย่าง ของพระสงฆ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ แม้จะมีศาสนิกชนมากมายแต่ก็ไม่สร้าง ความแตกแยกให้เกิดนิกาย หรือเข้าไปพัวพันกับการเมืองจนเป็นเรื่อง แตกแยก วัดเน้นความเรียบง่าย ใกล้ชิดธรรมชาติ ไม่ฟุ่งเฟือยหรือสะสม คงความเป็นพุทธ คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน อย่างแท้จริง หน้าที่หลักของ พระสงฆ์ คือ เป็นที่พึ่งทางจิตใจ อบรมสั่งสอนให้ศาสนิกชนปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบตามหลักแห่งพระพุทธศาสนา

วัดหนองป่าพงมีเนื้อที่ประมาณ 300 ไร่ ประกอบด้วย โบสถ์ วิหาร พิพิธภัณฑ์พระโพธิญาณเถระ กุฏิพยาบาลหลวงพ่อชา กุฎิพระ กุฎิแม่ชี กุฎิหลวงพ่อชา






หลวงปู่มั่น อาจารย์หลวงพ่อชา












หลวงพ่อชา กับ พระฝรั่ง พระฝรั่งรูปแรก ท่านอาจารย์สุเมโท

วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

นิพ พา นํ ปร มํ สุ ขํ

คําของท่านหลวงปู่ดูลย์ อตุโลที่กล่าวไว้ว่า

จิตคือพุทธะ

ซึ่งหมายความว่า

จิตเอง หรือจิตเดิมแท้ๆ ก่อนจะพอกพูนด้วยกิเลส นั่นละที่คือสภาพจิตพุทธะ หรือนิพพาน

หรือ

ดังที่หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ได้กล่าวไว้

จิตของคนเราเป็นของใสสะอาดมาแต่เดิม เหตุนั้นขัดเกลากิเลสออกหมด

มันจึงเห็นความใสสะอาด จึงเรียก ปภสฺสรมิท จิตฺต



ทั้งปวงล้วนมีความหมายเดียวกันทั้งสิ้น หรือนิพพานก็คือ จิตที่ไม่มีสิ่งปัจจัยปรุงแต่งของกิเลสอันเกิดแต่อุปาทานอันเกิดแต่ตัณหา, อันเป็นธรรมชาติของจิตหรือจิตเดิมแท้ก่อนถูกกิเลสปรุงแต่ง หรือก็คือ จิตที่หยุดคิดนึกปรุงแต่งและหยุดความกระวนกระวายแสวงหาด้วยความทะยานอยากหรือยึด อันหมายความว่า นิพพานหรือจิตเดิมแท้นั้นมีอยู่ในจิตหรือตัวตนตลอดเวลา ในขณะที่เรามัวแสวงหา สาระวนปฏิบัติค้นหาจากเหตุปัจจัยภายนอกต่างๆ, โดยการพยายามหา ทําให้เกิด ทําให้มี ทําให้เป็น จากการปฏิบัติต่างๆชนิด ก่อให้เกิด ก่อให้เป็น จากสิ่งปรุงแต่งต่างๆนาๆ หรือปัจจัยภายนอกต่างๆ เช่น การค้นหาและปฏิบัติแต่ทางสมาธิ, ฌาน, วัตถุ, บุคคล หรือการทรมานกายใดๆ, ถือแต่ศีล ทําแต่บุญ ฟังแต่ธรรม อันล้วนแล้วแต่เป็นสังขารการพยายามทําให้เกิด ให้มี ให้เป็นทั้งสิ้น ล้วนแต่ขาดการนำเอาไปใช้เป็นบาทฐานในการปฏิบัติเพื่อที่จะนําออกหรือละเสียซึ่งกิเลสหรือสิ่งที่บดบังหรือครอบงํานั้นๆออกไป, ดังนั้นจึงพยายามหาหรือพยายามทําให้เกิดเท่าไรก็ไม่ประสบผลสําเร็จ อันอุปมาดั่งไล่จับเงา ที่ย่อมไม่มีวันประสบผลสําเร็จตลอดกาลนาน, เพราะสภาวะนิพพานที่เรามีนั้นเหมือนดั่งเงา เราไม่เข้าใจ จึงปฏิบัติไม่ถูกต้อง จึงหมองหม่นอับแสงเพราะปัจจัยเครื่องปรุงแต่งต่างๆ อันได้แก่กิเลสตัณหาและอุปาทาน อันต่างล้วนเป็นเหตุปัจจัยอันเนื่องให้เกิดอุปาทานขันธ์๕ อันเป็นความทุกข์ในเบื้องปลายเป็นที่สุด

ดังนั้นจุดประสงค์ที่สำคัญที่สุดในการปฏิบัติก็คือการกำจัดกิเลสตัณหาอุปาทานอันจรมาจากอาสวะกิเลสนั่นเอง มิได้เป็นการปฏิบัติเพื่อให้เกิดให้มีขึ้นแต่ประการใด เพราะเขามีของเขาโดยธรรมหรือธรรมชาติอยู่แล้ว เพียงแต่หมองหม่นอับแสงสิ้นดีเนื่องเพราะอวิชชา

หรือที่หลวงปู่ดูลย์ได้กล่าวไว้ว่าในเรื่อง จิต คือ พุทธะ "เขาไม่รู้ว่า ถ้าเขาเอง เพียงแต่หยุดความคิดปรุงแต่ง และหมดความกระวนกระวายเพราะการแสวงหา(ตัณหา) เสียเท่านั้น พุทธะก็ปรากฎตรงหน้าเขา เพราะว่า จิต นี้คือ พุทธะ นั่นเอง และพุทธะ คือสิ่งมีชีวิตทั้งหลายทั้งปวงนั่นเอง และสิ่งๆนี้ เมื่อปรากฎอยู่ที่สามัญสัตว์ จะเป็นสิ่งเล็กน้อยก็หาไม่ และเมื่อปรากฎอยู่ที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายจะเป็นสิ่งใหญ่หลวงก็หาไม่"

การหยุดคิดปรุงแต่ง ก็เพื่อเป็นการปฏิบัติไม่ให้เกิดเวทนา..อันเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา..อันเป็นปัจจัยให้เกิดอุปาทาน..อันเป็นปัจจัยให้เกิดกิเลส(เป็นไปตามวงจรปฏิจจสมุปบาทนั่นเอง), หมดความกระวนกระวายเพราะความแสวงหา(ตัณหา)

นิพพานจึงไม่ต้องทําให้เกิดขึ้น หรือสร้างขึ้นแต่อย่างใด เพราะไม่ได้เกิดแต่เหตุปัจจัย เพียงแต่เป็นการนําเหตุปัจจัยอันทําให้จิตหม่นหมองนั้นออกไป หมายถึงจิตเดิมแท้ๆนั้นบริสุทธิ์อยู่แล้ว การนําออกและละเสียซึ่งกิเลสตัณหาไม่ใช่เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดนิพพาน เพราะดังที่กล่าวนิพพานไม่ได้เกิดแต่เหตุปัจจัย แต่เป็นเพียงคําอธิบายแนวทางปฏิบัติให้พบจิตเดิมแท้อันขุ่นมัวเศร้าหมองเพราะเหตุปัจจัยจากภายนอก เช่นการความคิดนึกปรุงแต่งอันเป็นเหตุปัจจัยภายนอก อันเป็นปัจจัยให้เกิดเวทนา,อันเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา..อุปาทาน..ภพ..อุปาทานทุกข์..และกิเลสตามลําดับตามวงจรปฏิจจสมุปบาท อันต่างล้วนจริงๆแล้วเป็นเหตุปัจจัยภายนอกที่เข้ามากระทบสัมผัสกับจิตเดิมแท้ที่ปภัสสรแล้วเกิดการคิดนึกปรุงแต่งต่างๆนาๆ

การปฏิบัติใดๆที่เป็นการก่อ หรือสร้างสมสิ่งหนึ่งสิ่งใดเช่นสมาธิ ฌาน ถือศีล หรือทําบุญ อิทธิฤทธิ์ ทรมานกาย จึงยังไม่ใช่หนทางการพ้นทุกข์อย่างแท้จริง บางข้อเป็นเพียงบาทฐานหรือขุมกําลังหรือเป็นขั้นบันไดในการสนับสนุนการปฏิบัติในขั้นปัญญาเท่านั้น, อันควรจักต้องปฏิบัติอย่างถูกต้องด้วย อันจักต้องเป็นการปฏิบัติเพื่อให้เกิดนิพพิทาเพื่อการนำออกสิ่งที่ทำให้เกิดการขุ่นมัวออกไปเท่านั้น

จักต้องเป็นการปฏิบัติในขั้นปัญญาเท่านั้น อันมีบาทฐานของศีล สติ สมาธิเป็นเครื่องส่งเสริม เพื่อนําออกและละเสียซึ่งความคิดนึกปรุงแต่งอันเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดกิเลส ตัณหาอันล้วนเป็นปัจจัยที่ยังให้เกิดอุปาทาน, ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยสิ่งปรุงแต่งต่อจิตพุทธะหรือจิตเดิมทั้งสิ้น, จึงเป็นหนทางพ้นทุกข์อย่างแท้จริงและถาวร จึงมิใช่การปฏิบัติโดยการเมาบุญหรือฌานสมาธิแต่ฝ่ายเดียว

ดังนั้นเมื่อ นําออก และ ละเสีย ซึ่ง กิเลส, ตัณหา และอุปาทาน ซึ่งย่อมเป็นเหตุปัจจัยให้ดับความทุกข์หรืออุปาทานขันธ์๕ ตามมา เมื่อนั้น

"นิพพานอันเป็นสุข ที่ถูกบดบังซ่อนเร้นอยู่ในจิตเดิมหรือธรรมชาติ ก็จักปรากฏขึ้น"

อันล้วนเป็นไปตามหลักปฏิจจสมุปบาท ฝ่ายนิโรธวาร

วันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ประวัติต้นโพธิ์

คนส่วนมากรู้เพียงผิวเผินเพียงว่า ต้นโพธิ์ เป็นต้นไม้ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ บรรลุโพธิญาณ ภายใต้ต้นศรีมหาโพธิ์เท่านั้น
ประวัติความเป็นมาเขียนโดย พอฺ ปาน จันทรานุตร หัวหน้ากองอนุศาสนาจารย์ กรมยุทธศึกษาทหารบก ไว้ว่า
ต้นศรีมหาโพธิ์ เป็นต้นไม้เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ในหนังสือ พุทธคยาเขียนไว้ว่า ต้นศรีมหาโพธิ์ นี้ได้เป็นสหชาติ คือ เกิดร่วมวันร่วมคืนกับเจ้าชายสิทธัตถะ ครั้นเจริญงอกงามขึ้นมีอายุได้ 35 ปี ก็ได้เป็นสถานที่พระพุทธเจ้าทรงอาศัยประทับใต้ร่มเพื่อเป็นที่ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมพุทธเจ้า ต่อมาในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช พระองค์ทรงเลื่อมใสในต้นศรีมหาโพธิ์ยิ่งนัก บางครั้งพระองค์ทรงประทับที่บริเวณต้นศรีมหาโพธิ์ โดยมอบราชสมบัติให้อำมาตย์ดูแลแทน บางครั้งเป็นแรมเดือนก็มี โดยเหตุนี้ ทำให้พระมเหสีนามว่า มหิสุนทรี น้อยพระทัยจนถึงกับรับสั่งให้คนลอบนำยาพิษ และนำร้อนไปทำลายต้นศรีมหาโพธิ์นั้นเสีย พระเจ้าอโศกมหาราชทรงเห็นเช่นนั้น ก็เสียพระทัยเป็นอย่างยิ่ง จนถึงกับทรงอธิษฐานว่า ตราบใดที่หน่อแห่งต้นศรีมหาโพธิ์นี้ยังไม่งอก ตราบนั้น ข้าพเจ้าจะมิยอมจากต้นพระศรีมหาโพธิ์ นี้ไปเป็นอันขาด แม้ชีวิตของข้าพเจ้าจะ วอดวายไป ข้าพเจ้าก็จะยอมตายถวายชีวิต เพื่อบูชาต้นพระศรีมหาโพธิ์ แต่อย่างเดียว ต่อมาไม่กี่วันก็มีหน่องอกขึ้นที่โคนต้นเดิมอย่างน่าอัศจรรย์พระเจ้าอโศกทรงโสมนัสยิ่ง รับสั่งให้ทำกำแพงล้อมรอบให้แข็งแรงเพื่อป้องกันอันตรายที่จะมีต่อไปอีก
ต้นศรีมหาโพธิ์ต้นเดิมมีอายุประมาณ 227 ปี จนถึงปี พ.ศ. 1263 ก็ถูกพระเจ้าสาสางกาแห่งแคว้น เบงคอล ผู้เป็นมิจฉาทิฎฐิ ประกาศความเป็นอิสระ ไม่ขึ้นต่อพรพะเจ้ามคธ ทำลายต้นศรีมหาโพธิ์นั้นเสีย ด้วยการตัดขุดโค่นรากเสีย ทั้งนี้เพราะ ชาวพุทธกราบไหว้บูชากันมากจนศาสนาอื่นอับเฉา เสื่อมทรามลงแทบไม่มีร่องรอยเหลืออยู่เลย แต่แล้วกองทัพของพระเจ้าสาสางกาก็ได้พ่ายแพ้แก่กองทัพของพระเจ้าปุระณาวรมาแห่งแคว้นมคธ และแตกหนีไปสิ้น
พระเจ้าปุระณาวรมา ผู้เป็นสัมมาทิฎฐิ จึงได้รดน้ำนมตรงบริเวณหลุมต้นศรีมหาโพธิ์ ต้นเก่า แล้วทรงอธิษฐานว่า ถ้าแม้นว่าตราบดใดหน่อแห่งต้นศรีมหาโพธิ์นี้ยังไม่งอก ตราบนั้น ข้าพเจ้าจะมิยอมจากต้นพระศรีมหาโพธิ์ นี้ไปเป็นอันขาด ข้าพเจ้าก็จะยอมตายถวายชีวิต เพื่อบูชาต้นพระศรีมหาโพธิ์ แต่อย่างเดียว ต่อมาไม่กี่วันก็มีหน่องอกขึ้นที่โคนต้นเดิมอย่างน่าอัศจรรย์
และเจริญงอกงามมาจนถึงปี พ.ศ. 2419 ต้นศรีมหาโพธิ์ก็ถูกพายุ พัดล้มไป ทางทิศตะวันตกของมหาวิหาร ทั้งนี้ปรากฎตามบันทึกของ ท่านนายพล ลอร์ดคันนิงแฮม( โปรดติดตามตอนต่อไป )